วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

การวิเคราะห์งบการเงิน ตอนที่ 1 Liquidity ratio

ในการวิเคราะห์งบการเงิน เราจะใช้อัตราส่วนทางการเงิน 5 หมวดด้วยกัน คือ
1.อัตราส่วนสภาพคล่อง(Liquidity ratio) ตอบคำถามว่าบริษัทมีความสามารถที่จะชำระหนี้ที่จะถึงได้ไหม
2.อัตราส่วนบริหารสินทรัพย์ (Asset Management ratio) ตอบคำถามว่าบริษัทมีการลงทุนในสินทรัพย์น้อยไปหรือมากไปหรือเปล่า
3.อัตราส่วนบริหารหนี้สิน (Debt Management ratio) บริษัทใช้เงินทุนจากการก่อหนี้ในสัดส่วนที่เหมาะสมหรือไม่
4.อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไร (Profitability ratio) ผลตอบแทนจากการลงทุนดีหรือไม่
5.อัตตราส่วนมูลค่าตลาด (Market Value ratio)

1.อัตราส่วนสภาพคล่อง (Liquidity ratio)
    1.1 อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนหรืออัตราส่วนสภาพคล่อง (Current ratio) คำนวนได้จาก สินทรัพย์หมุนเวียน / หนี้สินหมุนเวียน
สินทรัพย์หมุนเวียนโดยทั่วไปจะประกอบไปด้วย เงินสด หลักทรัพย์ตามราคาตลาด ลูกหนี้การค้า และสินค้าคงคลัง
หนี้สินหมุนเวียนประกอบด้วย เจ้าหนี้การค้า ตั๋วเงินจ่ายระยะสั้น หนี้ระยะยาวที่จะครบกำหนดชำระในปัจจุบัน ภาษีค้างจ่าย ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย
บริษัท ก. มี Current ratio ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี? คำตอบขึ้นอยู่กับว่าผู้ถามเป็นใคร ตัวอย่างเช่น สมมติว่าผู้ผลิตต้องตัดสินใจที่จะขยายสินเชื่อให้กับบริษัท ก โดยทั่วไปเจ้าหนี้ชอบที่จะเห็นอัตราส่วนสภาพคล่องสูง ถ้าบริษัทมีฐานะการเงินไม่ค่อยดี ก็จะเริ่มชำระเงินเจ้าหนี้ช้าขึ้น กู้ยืมเงินจากธนาคาร และอื่นๆ จะทำให้หนี้สินหมุนเวียนของบริษัทเพิ่มขึ้น ถ้าหนี้สินหมุนเวียนเพิ่มขึ้นเร็วกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน Current ratio จะลดลง และอาจจะทำให้เกิดปัญหา เพราะว่า Current ratio เป็นตัวชี้วัดตัวเดียวที่ดีที่สุดของขอบเขตการเรียกร้องของเจ้าหนี้ระยะสั้นคลอบคลุมถึงสินทรัพย์ที่คาดว่าจะเปลี่ยนเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว มันเป็นตัวชี้วัดที่ใช้บ่อยที่สุดที่ใช้วัดความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น
บริษัท ก. มี Current ratio ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม สภาพคล่องของบริษัทค่อนข้างอ่อนแอ  แต่เนื่องจากสินทรัพย์หมุนเวียนจะถูกแปลงสภาพเป็นเงินสดในระยะเวลาอันใกล้
ลองมาพิจารณา Current ratio ในมุมมองของผู้ถือหุ้น Current ratio ที่สูง อาจหมายความว่าบริษัทมีเงินเป็นจำนวนมากที่อยู่ในสินทรัพย์ เช่นเงินสดส่วนเกินหรือหลักทรัพย์ หรือสินค้าคงคลัง 

  1.2 อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick ratio) คำนวนได้จาก สินทรัพย์หมุนเวียนลบสินค้าคงคลัง แล้วหารด้วย หนี้สินหมุนเวียน
สินค้าคงเหลือจะมีสภาพคล่องน้อยที่สุดในสินทรัพย์หมุนเวียน ดังนั้นการวัดความสามารถของบริษัทเพื่อชำระภาระผูกพันระยะสั้นโดยไม่ต้องอาศัยการขายสินค้าคงเหลือคือสิ่งสำคัญ
ค่าเฉลี่ยอัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็วของอุตสาหกรรมคือ 2.1 และบริษัท ก. เท่ากับ 1.2 ดังนั้นบริษัท ก. มีค่าอัตราส่วนทุนหมุนเวียนอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับบริษัทในอุตสาหกรรม

2. อัตราส่วนความสามารถในการบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Ratio) เป็นวิธีการวัดประสิทธิภาพการจัดการสินทรัพย์ของบริษัท อัตราส่วนเหล่านี้ถูกออกแบบเพื่อตอบคำถามเหล่านี้ จำนวนเงินรวมของแต่ละประเภทของสินทรัพย์ที่รายงานในงบดุลดูสมเหตุสมผล สูงเกินไปหรือต่ำเกินไปในมุมมองของปัจจุบันและระดับยอดขายที่คาดการณ์ไว้ ถ้าบริษัทมีการลงทุนในสินทรัพย์ที่มากเกินไป สินทรัพย์ในการดำเนินงานและเงินทุนจะสูงเกินควร ซึ่งจะลดกระแสเงินสดและราคาหุ้นของบริษัท ในอีกทางหนึ่ง ถ้าบริษัทไม่ได้มีสินทรัพย์เพียงพอ ก็จะสูญเสียยอดขาย ซึ่งจะทำกำไรได้น้อยลง กระแสเงินสดอิสระน้อยลง และราคาหุ้นลดลง ดังนั้นการลงทุนในสินทรัพย์ในปริมาณที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ
2.1 อัตราส่วนหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง Inventory Turnover Ration คือการประเมินสินค้าคงเหลือ หาได้โดยการ เอายอดขาย หารด้วย สินค้าคงคลัง เป็นการประมาณการแบบคร่าวๆ

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

ถ้าชีวิตมันผิดทางก็ตัดขาดทุน (If life it lose one's way also cut lose)

ในโลกของการลงทุนไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนแบบ Value Invester หรือ Technical Analysis สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนพึงกระทำก็คือ การตรวจสอบพอร์ตการลงทุนของตัวเองอยู่เสมอ การซื้อหุ้นหลายครั้งนั้นถ้าเรารู้สึกว่าหุ้นเริ่มให้ผลตอบแทนที่ติดลบเราก็ควรที่จะตัดขาดทุนในหุ้นตัวนั้นเพื่อจะได้เอาเงินไปเล่นหุ้นตัวใหม่ แม้ว่าการตัดขาดทุนจะทำให้เราสูญเสียเงินบางจำนวน สูญเสียเวลาในการถือครองหุ้น แต่ก็เป็นสิ่งที่ควรทำก่อนที่พอร์ตจะเสียหายไปมากกว่าเดิม อาจารย์ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ เคยพูดให้ผมฟังว่า อย่าให้การตัดขาดทุนกลายเป็นการขาดทุนมหาศาล หมายความว่า เราควรตัดไฟแต่ต้นลมก่อนที่ไฟจะไหม้บ้านทั้งหลัง ในเรื่องของการใช้การตัดขาดทุนในการดำเนินชีวิต เช่นเรื่องความรัก การมีความรักหรือมีแฟนนั้นเป็นสิ่งที่ดี ช่วยให้เป็นแรงจูงใจในการทำงาน การเรียน การสร้างครอบครัว แต่ฉันใดก็ฉันนั้นทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีสองด้านเสมอ หากเราเริ่มรู้สึกว่าคนที่เราคบอยู่นั้นไม่ใช่ เริ่มมีปากเสียงกันรุนแรงหลายครั้ง และเริ่มไม่เข้าใจกัน ทำให้การดำเนินชีวิตแย่ลง เราก็ควรตัดขาดทุน ไม่ว่าจะทุ่มเทมาเท่าไหร่ก่อนหน้านั้นเราก็ควรตัดขาดทุน เพื่อจะได้เริ่มดำเนินชีวิตใหม่ แม้ว่าเราจะรู้สึกสูญเสีย เสียใจ ในตอนแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไปเราจะมีความรู้สึกที่ดีขึ้น แต่หากเราไม่ตัดขาดทุนแต่เริ่ม ความเสียใจก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เราได้ทุ่มเทเข้าไป ในเรื่องของหน้าที่การงานก็เช่นกัน หากเราไม่ได้ทำในสิ่งที่เรารัก เราก็ควรตัดขาดทุนแล้วเริ่มเรียนรู้ในสิ่งที่เรารักและเป็นตัวเรา เราก็จะทำงานอย่างสนุก ทุ่มเทกับงานมากขึ้น แล้วผลตอบแทนที่ดีก็จะตามมา ไม่มีใครในโลกที่จะทำถูกต้องไปทุกอย่าง แต่ถ้าเรารู้จักตัดขาดทุนให้เป็นแล้วความเสียหายก็ย่อมลดน้อยลง การเริ่มต้นใหม่ก็เร็วขึ้น เวลาคือสิ่งที่ไม่ว่าจะมีเงินเท่าไหร่ก็ไม่สามารถซื้อคืนกลับมาได้ สุดท้ายนี้เนื่องในวาระตรุษจีน ก็ ซินเจีย ยู่อี่ ซินนี้ ฮวดใช้ ทองและหุ้นขึ้นกันหลายๆ ^ ^

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

การจัดการทางการเงิน ว่ากันด้วยเรื่อง risk & return 4 Risk and Return in portforio

ในเรื่อง Risk & Return ตอนที่ 1-3 เราได้กล่าวถึงความเสี่ยงและผลตอบแทนจากการถือสินทรัพย์เพียงตัวเดียว แต่ในตอนนี้เราจะกล่าวถึงความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่เป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าการถือสินทรัพย์เพียงตัวเดียว ดังนั้นสินทรัพย์ทางการเงินส่วนใหญ่จะเป็นส่วนหนึ่งของพอร์โฟลิโอ เช่น ในพอร์ตโฟลิโออาจจะประกอบไปด้วย เงินฝากธนาคาร กองทุนLTF ประกันชีวิต หุ้น ทองคำ เป็นต้น แม้ว่านักลงทุนรายย่อยที่มีหุ้นน้อยตัวในพอร์ตโฟลิโอก็ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของความมั่งคั่ง โดยทั่วไปพอร์โฟลิโอจะไม่ได้มีหุ้นเพียงแค่ตัวเดียว และโดยมุมมองทั่วไปของนักลงทุนถือว่าหุ้นจะขึ้นหรือลงไม่ได้สำคัญมาก สิ่งสำคัญคือผลตอบแทนจากการลงทุนในพอร์ตโฟลิโอและความเสี่ยงในพอร์ตโฟลิโอ นั่นคึือความเสี่ยงและผลตอบแทนในหลักทรัพย์แต่ละตัวจะมีผลกระทบต่อความเสี่ยงและผลตอบแทนของพอร์ตโฟลิโอ
ผลตอบแทนพอร์ตโฟลิโอ (Portfolio Returns)
ผลตอบแทนคาดหวังของพอร์ตโฟลิโอ (r p -hat) คือค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของผลตอบแทนคาดหวังของหลักทรัพย์แต่ละตัวในพอร์ตโฟลิโอ มีสมการดังด้านล่างนี้
ri-hat คือ ผลตอบแทนคาดหวังในหุ้นแต่ละตัว และ wi คือ สัดส่วนหรือน้ำหนักที่ลงทุนในหุ้นแต่ละตัวในพอร์ตโฟลิโอ โดย wi รวมกันแล้วต้องเท่ากับ 1.0 ดัวอย่าง สมมติว่าในปี 2012 เราได้ประมาณการอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังในหุ้น 4 บริษัทใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ดังนี้
ถ้าเรามีเงิน 100,000 บาท แล้วลงทุนในหุ้นทั้ง 4 บริษัท บริษัทละเท่าๆ กัน คือบริษัทละ 25,000 บาท เราสามารถ หาผลตอบแทนคาดหวังในพอร์ตโฟลิโอได้ดังนี้
เราจะได้ผลตอบแทนคาดหวังเท่ากับ 10.75% แต่เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งปี เราจะรู้อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงว่าแตกต่างจากผลตอบแทนคาดหวัง ยกตัวอย่างเช่น BBL อาจจะให้ผลตอบแทนที่ 30% ในขณะที่ PTT อาจให้ผลตอบแทน -10% เพราะฉะนั้นผลตอบแทนคาดหวังเป็นเพียงแค่ประมาณการผลตอบแทนที่เราต้องการเท่านั้นไม่ใช่ผลตอบแทนที่แท้จริง
ความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอ (Portfolio Risk) 
สิ่งที่เราได้กล่าวมาก่อนหน้านี้คือ ผลตอบแทนที่คาดหวังของพอร์ตโฟลิโอเป็นเพียงค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของผลตอบแทนที่คาดหวังในหลักทรัพย์แต่ละตัวในพอร์ตโฟลิโอ อย่างไรก็ตามสิ่งที่แตกต่างจากผลตอบแทนก็คือ ความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอ(sigma p) โดยจะไม่ทำการถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐานของสินทรัพย์แต่ละตัวในพอร์ต เราจะอธิบายเรื่องนี้ด้วยรูปด้านล่างนี้ 
จากข้อมูลข้างบนนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราผลตอบแทนจากหุ้น W และหุ้น M และสัดส่วนการลงทุนในหุ้น W และ M คือ ลงทุนในหุ้น W 50% ของจำนวนเงินในพอร์ต และลงทุนในหุ้น M 50% ของจำนวนเงินในพอร์ต กราฟ a แสดงอัตราผลตอบแทนในรูปแบบอนุกรมเวลา กราฟ B แสดงการแจกแจงความน่าจะเป็นของผลตอบแทน โดยหุ้นทั้งสองตัวจะมีความเสี่ยงมากถ้าเราถือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเพียงตัวเดียว แต่เมื่อรวมกันเป็นพอร์ตโฟลิโอแล้ว ความเสี่ยงทั้งหมดจะหมดไป เหตุผลที่หุ้น W&M รวมกันแล้วทำให้ความเสี่ยงลดลงคือหุ้นทั้ง 2 ตัว มีทิศทางของราคาที่สวนทางกัน เมื่อ W ผลตอบแทนลดลง หุ้น M ราคาจะเพิ่มขึ้น แนวโน้มของการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นทั้งสองตัวเราเรียกว่า สหสัมพันธ์ (Correlation) และตัวเลขที่ใช้วัดสหสัมพันธ์ เราจะเรียกว่า สัมประสิทธ์สหสัมพันธ์ (Correlation coefficient) หรือตัว roe
ในทางสถิติเราจะกล่าวว่า ผลตอบแทนหุ้น W และ  หุ้น M  มีค่าสหสัมพันธ์ เป็น ลบ แบบสมบูรณ์ (perfectly negative correlated) คือมี ค่า
 ถ้าค่าสหสัมพันธ์เป็นลบแบบสมบูรณ์การกระจายการลงทุนจะทำให้ความเสี่ยงหมดไป
ในทางตรงกันข้าม ถ้า ค่าสหสัมพันธ์เป็นบวกแบบสมบูรณ์ (perfectly positive correlated) คือมีค่า 
ถ้าค่าสหสัมพันธ์เป็นบวกแบบสมบูรณ์การกระจายการลงทุนจะไม่ช่วยลดความเสี่ยง

อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเรามีหุ้นมากกว่า 2 ตัวในพอร์ตโฟลิโอ คำตอบก็คือ ความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอจะลดลงเพิ่มขึ้นถ้าจำนวนหุ้นในพอร์ตโฟลิโอเพิ่มขึ้น แล้วเราสามารถที่จะขจัดความเสี่ยงในพอร์ตโฟลิโอให้หมดไปได้หรือไม่ คำตอบคือไม่ได้ การเพิ่มหุ้นบริษัทอื่นเข้าไปในพอร์ตโฟลิโอจะช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตจะขึ้นอยู่กับค่าสหสัมพันธ์ระหว่างหุ้นแต่ละตัว ถ้าค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์เป็นบวกเล็กน้อยแต่ไม่เกินหนึ่ง จะช่วยลดความเสี่ยงในพอร์ต ถ้าเราสามารถหาชุดของหุ้นที่มีค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์เป็น -1 เราจะสามารถขจัดความเสี่ยงให้หมดไปได้ แต่ในความเป็นจริงความสัมพันธ์ของหุ้นโดยทั่วไปจะมีค่าเป็นบวกแต่น้อยกว่า 1 แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะฉนั้นเวลาเราเลือกหุ้นเพื่อมาเป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตโฟลิโอของเราจึงควรมีการกระจายซื้อหุ้นที่อยู่แต่หมวดอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน สุดท้ายนี้หลายคนคงเคยได้ยินว่า อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตระกร้าใบเดียวเพราะถ้าตระกร้านั้นหล่นไข่ทั้งหมดจะแตก ให้กระจายไข่ใส่ในตระกร้าหลายในเพราะเมื่อใบหนึ่งหล่นก็จะมีอีกหลายใบที่ยังอยู่

การจัดการทางการเงิน ว่ากันด้วยเรื่อง risk & return 3 การวัด Stan-Alone Risk: The Standard Deviation

ความเสี่ยงเป็นแนวคิดที่ยากจะเข้าใจและการจัดการที่ดีคือการพยายามทำให้วัดได้ อย่างไรก็ตามความหมายทั่วไป คือ ความหนาแน่นของการกระจายความน่าจะเป็นยิ่งมาก ความเสี่ยงของการลงทุนจะยิ่งลดลง
จากรูปด้านบน เราจะเห็นว่า บริษัท U.S.Water มีความเสี่ยงต่ำกว่า บริษัท Martin Product เพราะว่ามีความเป็นไปได้น้อยมากที่อัตตาผลตอบแทนจะต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง ตัววัดความเสี่ยงที่มีค่าค่าแน่นอนเราต้องวัดความหนาแน่นของการกระจายความน่าจะเป็น หนึ่งในตัววัดดังกล่าวก็คือส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน (Standard deviation,sigma) ยิ่งส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐานยิ่งน้อย ความหนาแน่นของการกระจายความน่าจะเป็นยิ่งมาก  นั่นคือความเสี่ยงจะยิ่งต่ำ

ส่วนเบี่ยงเบน (Deviation) หาได้จากสมการด้านล่าง
ค่าความแปรปรวน (Variance) หาได้จาก สมการด้านล่าง
สุดท้ายเมื่อนำ ค่าความแปรปรวน มาถอด Square root เราจะได้ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน ตามสมการข้างล่าง
การตีความส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน สมมติว่าเราได้ expected rate of return = 15%  และสมมติว่าเราคำนวนส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐานของบริษัท A ได้ 68.26% และของบริษัท B ได้ 3.87% ดังนั้น ถ้าเราลงทุนในบริษัท A อัตราผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงจะอยู่ในช่วงระหว่าง 15%-68.26% ถึง 15%+68.26% เท่ากับว่าเราจะได้รับผลตอบแทนตั้งแต่ -50.84%  ถึง 80.84% แต่ถ้าลงทุนในบริษัท B เราจะได้รับผลตอบแทนอยู่ระหว่าง 15%-3.87% ถึง 15%+68.26% นั่นก็คือ 11.13% ถึง 18.87% สังเกตุว่า ถ้าส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐานมีค่ามาก จะทำให้ความเสี่ยงมากขึ้น ผลตอบแทนกำไรหรือขาดทุนก็จะสูง วิธีการนี้สามารถประยุกต์ใช้ในรูป Technical Analysis เพื่อดูความเสี่ยงของสินทรัพย์ตัวที่จะลงทุน โดยการใช้ข้อมูลในอดีตในการหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน(Using Historical data to Measure risk) โดยหาได้จากสูตร

r bar t คือ อัตราผลตอบแทนแต่ละปี
r bar avg คือ ค่าเฉลี่ยอัตราผลตอบแทนแต่ละปีจนถึงปีสุดท้าย
ตัวอย่าง สมมติว่าเรามีข้อมูลอัตราผลตอบแทนของหุ้น A ตั้งแต่ปี 2009 ถึง 2011 ดังตารางข้างล่าง

หาค่า
เพราะฉนั้นจะได้
ถ้าเราเลือกการลงทุนระหว่าง 2 โครงการที่มีผลตอบแทนคาดหวัง(expected rate of return) เท่ากัน แต่ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน(Standard deviation) ต่างกัน เราจะเลือกลงทุนในโครงการที่มีส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐานต่ำกว่า ในทำนองเดียวกัน ถ้าสองโครงการมี ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐานที่เท่ากัน เราจะเลือกลงทุนในโครงการที่ให้อัตราผลตอบแทนที่คาดหวังที่สูงกว่า คนส่วนใหญ่จะรู้สืกว่าความเสี่ยงเป็นสิ่งไม่ดี และผลตอบแทนคือสิ่งที่ดี นักลงทุนจึงต้องการผลตอบแทนที่มากที่สุด และความเสี่ยงที่ต่ำที่สุด แต่เราจะเลือกโครงการที่ทั้งผลตอบแทนและความเสี่ยงไม่เท่ากันได้อย่างไร สิ่งที่ช่วยในการตอบคำถามนี้คือ ค่าสัมประสิทธ์ความแปรปรวน (Coefficient of variation) ซึ่งก็คือ ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐานหารด้วยผลตอลแทนที่คาดหวัง  ดังสมการข้างล่าง
ยิ่งค่า Coefficient of variation ยิ่งมาก ความเสี่ยงของโครงการนั้นก็จะยิ่งสูง เนื่องจากค่า CV มีผลกระทบทั้งความเสี่ยงและผลตอบแทนจึีงเป็นตัววัดการประเมินความเสี่ยงในสถานการณ์ที่เงินลงทุนมีผลตอบแทนที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

การจัดการทางการเงิน ว่ากันด้วยเรื่อง risk & return 2 (การแจกแจงความน่าจะเป็นและผลตอบแทนที่คาดหวัง)

การแจกแจงความน่าจะเป็น (Probability Distributions)
ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์คือการกำหนดโอกาสที่เหตุการณ์ทั้งหมดจะเกิดขึื้น ตัวอย่างเช่น การพยากรณ์สภาพอากาศ มีโอกาส 40% ที่ฝนจะตกในวันนี้ และ 60% ที่ฝนจะไม่ตกในวันนี้ ก็คือเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ทั้งหมด หรือผลลัพธ์นั่นเอง ความน่าจะเป็นที่ถูกกำหนดให้แต่ละเหตุการณ์เรียกว่า การแจกแจงความน่าจะเป็น(Probability Distribution) โดยผลรวมของความน่าจะเป็นทั้งหมดรวมกันต้องมีค่าเท่ากับ 1 หรือ 100% ในการลงทุนในหุ้นสามัญ คุณต้องการคาดหวังผลตอบแทน โดยอัตราผลตอบแทนเกิดจาก เงินปันผล+กำไรส่วนต่างราคาหุ้น ความเสี่ยงของหุ้นจะหมายถึงความน่าจะเป็นที่บริษัทไม่สามารถดำเนินการได้ตามที่คาดหวัง ดังเช่นการเกิดอุทกภัยในประเทศไทยครั้งนี้ก็ถือเป็นความเสี่ยงด้วยเพราะบริษัทไม่สามารถดำเนินการได้ตามที่คาดหวัง จากการที่ต้องหยุดการผลิต
ตัวอย่าง การแจกแจงความน่าจะเป็น ในบริษัท A และ B
จากตารางด้านบน เราจะเห็นว่า มีโอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะถดถอย 70% ถ้าเราลงทุนในบริษัท A เราจะขาดทุน 50% และถ้าเราลงทุนในบริษัท B เราจะขาดทุน 30% ในอีกทางหนึ่ง มีโอกาศที่เศรษฐกิจโลกจะอยู่กลางๆ 20% ถ้าเศรษฐกิจโลกอยู่กลางๆ เราลงทุนในบริษัท A เราจะได้อัตราผลตอบแทนเท่ากับ 15% และ ถ้าลงทุนในบริษัท B เราจะได้ผลตอบแทน 20%
อัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง (Expected rate of return,r-hat)
อัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง ถ้าเราคูณแต่ละผลลัพธ์ของความน่าจะเป็นกับอัตราผลตอบแทน แล้วนำมาบวกกันเราจะได้อัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง ค่าเฉลี่ยถ่วงน่้ำหนักก็คือ อัตราผลตอบแทนที่คาดหวังนั่นเอง
โดยมีสมการดังนี้
ดังนั้น อัตราคาดหวังผลตอบแทนจากบริษัท A เท่ากับ

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

การจัดการทางการเงิน ว่ากันด้วยเรื่อง risk & return 1

ในการประเมินโครงการลงทุน สิ่งที่นักลงทุนจะต้องพบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือเรื่องของความเสี่ยง และ ผลตอบแทน หลายคนคงเคยได้ยินว่า High risk High return ซึ่งก็ทำให้มีนักลงทุนสไตล์ Penny stock เกิดขึ้น โดยความเสี่ยงของสินทรัพย์จะมี 2 แบบก็คือ stan-alone และแบบ Portfolio
โดยความเสี่ยงยังสามารถแบ่งออกได้เป็นอีก 2 ประเภทคือ diversifiable risk คือความเสี่ยงที่สามารถลดได้ และ Market risk ซึ่งสะท้อนความเสี่ยงจากการลดลงของตลาดและนักลงทุนไม่สามารถที่จะลดความเสี่ยงประเภทนี้ได้
อัตราผลตอบแทน แบ่งวิธีคิดอัตราผลตอบแทนเป็นสองประเภท คือ วิธีการคิดที่เป็นอัตราผลตอบแทนที่เป็นตัวเงิน (dollar return) และวิธีิคิดอัตราผลตอบแทนที่เป็น % (rate of return,percentage of return)
สมมติตัวอย่างเข่น ซื้อหุ้น 10 หุ้น หุ้นละ 100 บาท เป็นจำนวนเงินรวม 1000 บาท หุ้นนี้ไม่มีการจ่ายเงินปันผล ณ สิ้นปี คุณสามารถขายหุ้นนี้ได้ในราคา 1100 บาท อัตราผลตอบแทนจากเงินลงทุนเป็นเท่าไหร่
วิธี Dollar return = จำนวนเงินที่ขายหุ้นได้ - จำนวนเงินที่ลงทุน
                           = 1100 - 1000 = 100 บาท
วิธี Rate of return = (จำนวนเงินที่ขายหุ้นได้ - จำนวนเงินที่ลงทุน)/ จำนวนเงินที่ลงทุน
                            = Dollar return / จำนวนเงินที่ลงทุน = 100/1000
                            = 0.1 = 10% นั่นเอง

วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2555

เงินทองต้องใส่ใจ ออมก่อนรวยกว่า

ถามตอบเกี่ยวกับ หุ้น ทองคำ ตราสารหนี้

ถามตอบความรู้วิชาแกนต่างๆ

ถาม-ตอบความรู้วิชาแกนต่างๆ ในหลักสูตร CEO MBA เช่น การจัดการทางการเงิน เศรษฐศาสตร์การจัดการ บัญชีผู้บริหาร การจัดการเชิงกลยุทธ์ การตลาด การจัดการความได้เปรียบในการแข่งขัน พฤติกรรมองค์กร กรุณาใส่ ว่าวิชาอะไร ในหัวข้อ

จุดประสงค์ของ Blog นี้

จุดประสงค์ของ blog นี้มีขึ้นเพื่อ
1.แชร์ความรู้และประสบการณ์จากการที่ได้ศึกษาหลักสูตรปริญาโท บริหารธุรกิจ ของมหาวิทยาลัยหอการค้า
2.Blog นี้ไม่ได้มีขึ้นเพื่อการค้าและการเรียกเก็บเงินใดๆ
3.ข้อมูลใน Blog นี้อาจมีความผิดพลาด ผู้อ่านควรพิจารณาให้ดี
4.Blog นี้มีขึ้นเพื่อการตั้งคำถาม คำตอบ และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการศึกษาตามหมวดหมู่ กรุณาถามให้ถูกต้องตามหมวดหมู่
5.กรุณาใช้คำสุภาพ
6.ห้ามใช้คำพูดในการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์